วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดอกไม้ในบ้านดอกหญ้า2











ดอไม้ในบ้านดอกตอนที่2
ดอกเศรษฐีเรือนในๆ
ดอกหญ้าที่ชอบขึ้นในกระถางต้นไม้ลองปล่อยและสวยที่ยาวลงมาๆ

ดอกหลิวและดอกหญ้า
ดอกบัวประดับไม้น้ำ
ดอกบัวดิน
ดอกไฮเดนเยียร์

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดอกเล็กแต่มีความหมาย2


ว่านธรณีสาร..

ชื่อวิทยาศาสตร์

Phyllanthus Pulcher Wall ex Muell Arg.

วงศ์

EUPHORBIACEAE

ชื่อสามัญ

-

ชื่ออื่นๆ

-

ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นตรง สูงประมาณ 0.5–1 เมตร ลำต้นสีเขียว ตรงปลายยอดเป็นสีอ่อน หากต้นแก่โคนต้นจะเป็นสีน้ำตาล ใบมีลักษณะกลมเล็กคล้ายใบมะขาม ก้านใบสีเขียว ใบจะออกทั้ง 2 ข้างของก้านใบคู่กันไปจนสุดปลายก้าน ส่วนก้านใบจะแตกออกจากลำต้นโดยรอบๆ เป็นพุ่มสวยงาม

การปลูก

ปลูกในดินร่วน หรือดินปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี ควรปลูกหรือจัดวางกระถางในบริเวณที่ได้รับแสงแดดปานกลาง และควรรดน้ำให้ชุ่มทุก เช้า-เย็น

การขยายพันธุ์

ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แล้วจึงแยกต้นกล้าไปปลูก

ความเป็นมงคล

ว่านธรณีสารเป็นว่านที่นับถือกันมาช้านาน โดยการนำไปเข้าพิธีประพรมน้ำมนต์ เพราะเชื่อกันว่าเป็นมงคล ปลูกไว้ในบริเวณ
บ้านแล้วจะดี และควรปลูกว่านธรณีสารในวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น

ดอกไม้ดอกเล็กๆแต่มีความหมายมาก



ดอกไม้ ดอกเล็กๆ แต่มีความหมายมาก ..

ลักษณะทั่วไป

ว่านเศรษฐีเรือนนอกเป็นไม้กอขนาดเล็ก มีหัวอยู่ใต้ดิน ไม่มีลำต้น ใบแตกกระจายออกเป็นพุ่มอยู่เหนือดิน ใบแกมขนานคล้ายใบตะไคร้ แต่สั้นกว่ามาก มีใบด่างขาว หรือขาวนวลที่ริมใบ ลักษณะอื่นๆ จะเหมือนเศรษฐีเรือนกลางคือ เมื่อใบยาวเต็มที่จะโค้งงอลงดิน เมื่อโตเต็มที่จะมีไหลเหนือดินแตกเป็นต้นใหม่ได้เช่นเดียวกัน

การปลูก

ว่านเศรษฐีเรือนนอกชอบดินร่วนหรือดินปนทราย ซึ่งระบายน้ำได้ดี ให้แดดรำไร หรือปลูกที่ร่มให้ถูกแสงแดดบ้างในบางเวลา รดน้ำปานกลาง

การขยายพันธุ์

ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ หรือใช้ต้นอ่อนที่เกิดจากไหลไปปลูกใหม่

ความเป็นมงคล

นอกจากว่านเศรษฐีเรือนนอกจะมีสรรพคุณในทางคุ้มครองป้องกันภัยแล้ว ยังถือเป็นว่านเสี่ยงทาฐานะหากว่านเจริญงอกงามผู้เลี้ยงก็จะมีฐานะเจริญรุ่งเรืองด้วย
..ว่านเศรษฐีเรือนนอก

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

(ศาลาธรรม) โลกร้อน เย็นธรรม (พระไพศาล วิสาโล)



(ศาลาธร(ศาลาธรรม) โลกร้อน เย็นธรรม (พระไพศาล วิสาโล)....

โลกร้อน เย็นธรรม

พระไพศาล วิสาโล

_________________________

ธรรมชาติทุกหนแห่ง ไม่เว้นแม้แต่น่านน้ำ ผืนป่า และและแผ่นดินที่มนุษย์เข้าถึงยาก
จรดขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ กำลังอยู่ในอันตราย
ทุกวันนี้แทบไม่มีที่ใดบนผืนโลกที่ปลอดพ้นจากสารพิษ
แม้แต่ทวีปอาร์กติกก็ยังพบร่องรอยของสารดีดีทีในตัวสัตว์
ซึ่งสามารถทำลาย ระบบประสาท กลางมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งไกลจากทวีปนับพัน ๆ ไมล์
มีขยะพลาสติกนับหมื่นตันล่องลอย และทำให้สัตว์น้ำจำนวนไม่น้อยต้องตาย
เพราะกินมันเข้าไปด้วยคิดว่าเป็นอาหาร
ขณะที่สัตว์ทั้งใหญ่น้อยต้องสูญพันธุ์เพราะถิ่นที่อยู่ถูกรุกราน


ธรรมชาติทั่วโลกกำลังประสบวิกฤตในสามลักษณะ
คือ ๑.การแพร่กระจายของมลภาวะทั้งบนดิน ใต้ดิน ในน้ำ และอากาศ
๒. ความร่อยหรอหรือสูญหายอย่างรวดเร็วของธรรมชาติ ไม่ว่า ชนิดพันธุ์ของพืช สัตว์
ตลอดจนทรัพยากร อาทิ น้ำมัน แร่ธาตุ และป่า
๓. ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ อาทิ น้ำท่วม ฝนแล้ง


ในบรรดาภัยทั้งสามประการนี้
ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศเป็นประเด็นที่กำลังมีการพูดถึงมากที่สุด
แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้พูดถึงแค่น้ำท่วม ฝนแล้ง
หากกำลังวิตกถึงปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือ “โลกร้อน”
แม้ว่าโลกร้อนเป็นปัญหาที่เราเพิ่งตระหนักเมื่อไม่ถึง ๒๐ ปีมานี้เอง
แต่มันกลับกลายเป็นภัยที่ร้ายแรงที่สุดที่สามารถนำมนุษยชาติและสรรพชีวิตในโลกนี้
เข้าสู่ภาวะวิกฤตได้เร็วกว่าภัยสองประการแรกเสียอีก


ไม่เป็นที่สงสัยกันแล้วว่า “โลกร้อน” เป็นวิกฤตที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
เช่นเดียวกับการเกิดมลภาวะและการร่อยหรอสูญหายของทรัพยากรธรรมชาติ
มันเป็นวิกฤตที่จะมีผลกระทบกว้างไกลเกินกว่าที่มนุษย์จินตนาการไปถึง
เนื่องจากมันส่งผลพร้อมกันทั่วทั้งโลก มิได้กระจายเป็นจุด ๆ อย่างภัยธรรมชาติชนิดอื่น ๆ


ปัจจุบันมีความพยายามที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยเทคโนโลยีนานาชนิด
เช่น รถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมัน เครื่องยนต์ที่ประหยัดพลังงาน อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า
รวมทั้งโครงการอัดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปใต้พิภพ แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้
จะทำได้จริงหรือมีประสิทธิภาพเพียงใด ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างแท้จริง
ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เทคโนโลยีเหล่านี้ก็เพียงแต่ชะลอปัญหา
หรือกลับส่งเสริมให้มนุษย์บริโภคมากขึ้น เช่นเดียวกับรถประหยัดน้ำมัน
ที่กลับกระตุ้นให้ผู้คนเดินทางมากขึ้น
การบริโภคน้ำมันจึงไม่ได้ลดลงเลย กลับจะมากขึ้นด้วยซ้ำ


รากเหง้าของปัญหาโลกร้อน ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย
อยู่ที่ทัศนคติของมนุษย์ในปัจจุบันที่มองเห็นธรรมชาติเป็นเพียงมวลวัตถุที่มีขึ้น
เพื่อปรนเปรอความต้องการของมนุษย์เท่านั้น
เราไม่ได้มองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ที่อยู่ได้เพราะธรรมชาติ และดังนั้นจึงพึงสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติ
ตรงกันข้ามผู้คนกลับเข้าใจว่ามนุษย์คือนายของธรรมชาติ
ดังนั้นจึงสามารถทำอย่างไรกับธรรมชาติก็ได้


ทัศนคติอีกประการหนึ่งที่มาควบคู่กันก็คือ
การเข้าใจว่าความสุขเกิดจากการครอบครองและบริโภควัตถุ
มีมากเสพมากเท่าไรก็จะมีความสุขมากเท่านั้น
ชีวิตจะก้าวหน้าเพียงใดก็วัดจากจำนวนและชนิดของรถที่มี
ตลอดจนราคาของบ้านและที่ดินในครอบครอง รวมทั้งยอดเงินในบัญชีเงินฝาก
ทัศนคติเช่นนี้ทำให้เราแข่งกันเสพและครอบครองวัตถุ
โดยมีลัทธิบริโภคนิยมเป็นตัวกระตุ้น และมีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นตัวรองรับ
แต่ไม่ว่าจะมีมากเสพมากเพียงใด ผู้คนก็ไม่เคยรู้สึกพอเสียที
ยังต้องการไม่หยุดหย่อน ผลก็คือเกิดการทำลายธรรมชาติอย่างขนานใหญ่
เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตอันฟุ้งเฟ้อร่ำรวยที่ไม่เคยมีจุดสิ้นสุด
โดยที่ความสุขของผู้คนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
ดังเห็นได้จากอัตราการเป็นโรคจิตโรคประสาทและการฆ่าตัวตายที่เพิ่มสูงขึ้น
ตามการเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจ


นี้คือทัศนคติหลัก ๆ สองประการที่เป็นรากเหง้าของการทำลายธรรมชาติในปัจจุบัน
ทัศนคติดังกล่าวและพฤติกรรมที่สืบเนื่องตามมา
ไม่เพียงทำให้ผู้คนเหินห่างหมางเมินหรือแปลกแยกกับธรรมชาติเท่านั้น
หากยังทำให้ผู้คนเหินห่างหมางเมินหรือแปลกแยกกับตัวเองด้วย
ดังจะเห็นได้ว่าผู้คนทุกวันนี้ทนอยู่กับตัวเองคนเดียวไม่ได้
แต่พยายามหนีตัวเองตลอดเวลา ด้วยการไปขลุกอยู่กับสิ่งเสพ เที่ยวห้าง คุยโทรศัพท์
หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะไปเบียดเบียนธรรมชาติ


กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วธรรมชาติแวดล้อมวิกฤต
ก็เพราะธรรมชาติภายในของผู้คนเสียสมดุล
พูดอีกอย่างก็ได้ว่า ความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาติแวดล้อมทุกวันนี้
เป็นผลมาจากความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาติภายในผู้คน
เป็นเพราะผู้คนมีความทุกข์ อ้างว้าง และว่างเปล่าในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
จึงพยายามหาวัตถุมาเติมเต็ม แต่ไม่ว่าจะแปรธรรมชาติเป็นสิ่งเสพ
และทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงใด จิตวิญญาณก็ไม่เคยเติมเต็มเสียที


ธรรมชาติแวดล้อมจะไม่มีวันฟื้นฟูได้เลยหากธรรมชาติภายในของผู้คน
ไม่คืนสู่สมดุลหรือความปกติ ด้วยเหตุนี้ธรรมะจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
ธรรมชาติกับธรรมะแยกจากกันไม่ออก หากจะฟื้นฟูธรรมชาติได้
ก็จำเป็นต้องฟื้นฟูธรรมในใจของผู้คน
นั่นคือทำให้ผู้คนกลับมาตระหนักถึงความเป็นจริงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
อยู่ได้เพราะธรรมชาติ และดังนั้นจึงควรสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติ
ขณะเดียวกันธรรมยังช่วยให้เรารู้จักพอ มีชีวิตที่เรียบง่ายได้โดยไม่ต้องฝืนใจ
เพราะสามารถเข้าถึงความสุขที่ประณีต


ความสุขอันประณีตนั้นไม่ต้องอาศัยการเสพหรือมีวัตถุ
แต่เกิดจากการมีจิตใจที่สงบเย็น จากการทำความดี
จากการเห็นรอยยิ้มแห่งความสุขของผู้คนอันเป็นผลจากความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ของเรา
รวมทั้งจากความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เราทุกคนย่อมโหยหาความสุข
และการที่เราพากันไปแสวงหาความสุขจากวัตถุ ก็เพราะเราไม่รู้จัก
หรือไม่สามารถเข้าถึงความสุขอันประณีต
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าถึงความสุขอันประณีตได้ ความสุขจากวัตถุจะมีเสน่ห์น้อยลง



ความสุขอันประณีตเกิดจากเข้าถึงธรรม เมื่อเรารู้จักพอ ความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่าย
และเมื่อจิตใจมีความสุข ความพอก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ไม่มีความจำเป็นต้องเบียดเบียนธรรมชาติเพื่อปรนเปรอกิเลส
หรือสนองความสุขอย่างหยาบ ๆ อีกต่อไป
ทำให้มีชีวิตที่บรรสานสอดคล้องกับธรรมชาติแวดล้อม
ใจที่มีธรรมจึงเป็นหลักประกันแห่งการรักษาคุ้มครองธรรมชาติที่ดีที่สุด



อย่างไรก็ตามธรรมไม่ได้เกื้อกูลธรรมชาติฝ่ายเดียว ธรรมชาติก็เกื้อกูลธรรมด้วย
ผู้ที่มีจิตใจรุ่มร้อน เมื่อได้มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบสงัด
จิตใจก็จะสงบเย็นได้เร็ว เกิดกุศลธรรมได้ง่าย และหากหันมามองด้านใน
หรือรู้จักบำเพ็ญทางจิต สติ สมาธิ ปัญญาก็จะเจริญงอกงาม
ผู้ที่มีใจเปิดกว้าง ย่อมเรียนรู้ธรรมได้มากมายจากธรรมชาติ
ไม่ว่าสัจธรรมคือความเป็นจริงของชีวิต เช่น ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง
และความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของทุกสิ่งในจักรวาล
ใช่แต่เท่านั้นธรรมชาติยังสอนจริยธรรมให้แก่เราได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจากต้นไม้ที่เอื้อเฟื้อสรรพสัตว์ จากแมลงที่อดทนและเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ
จากนกที่โบยบินอย่างอิสระโดยไม่มีทรัพย์สินเป็นภาระ
เมื่อมีผู้ถามหลวงปู่มั่นว่าท่านรู้ธรรมได้อย่างไรในเมื่อเรียนหนังสือไม่มาก
ท่านตอบว่า...สำหรับผู้มีปัญญา ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า...
และด้วยเหตุผลเดียวกัน ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงแนะให้ผู้มาเยือนสวนโมกข์
หัดฟังต้นไม้และก้อนหินสอนธรรม



ผู้ที่ใฝ่ธรรมหรือหวังความเจริญงอกงามของชีวิตด้านใน
จึงควรมีเวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบสงัด ในบรรยากาศเช่นนั้น
หากน้อมจิตให้ดี ไม่เพียงเราจะเห็นธรรมจากธรรมชาติแวดล้อมเท่านั้น
หากยังจะเห็นธรรมชาติภายในใจเราชัดเจนด้วย
ซึ่งนำไปสู่การเห็นสัจธรรมของชีวิตและโลกได้
ทำให้เกิดความสงบและสว่างกระจ่างแจ้งภายใน


อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ธรรมชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย
เราไม่ควรที่จะแสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติเท่านั้น
แม้จะเป็นประโยชน์ทางธรรมก็ตาม
หากควรมีน้ำใจเอื้อเฟื้อและตอบแทนคุณธรรมชาติด้วย
โดยช่วยกันพิทักษ์รักษาธรรมชาติอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า
การนำสิ่งของมาหมุนเวียนใช้ใหม่ การส่งเสริมถุงผ้า
การคุ้มครองสัตว์และพันธุ์พืช ตลอดจนการรณรงค์ให้ผู้คนตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น


ข้อที่พึงตระหนักคือการพิทักษ์รักษาธรรมชาติเป็นงานที่เห็นผลช้า
และอาจหยุดยั้งการทำลายไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรท้อแท้หรือคับข้องใจ
เพราะถึงอย่างไรนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง
จะว่าไปแล้วจำเป็นมากที่เราควรมองการกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติธรรม
เพราะจะช่วยให้เรามีความสงบเย็นในจิตใจได้ ในขณะที่โลกกำลังร้อนไม่หยุด
ไม่ควรที่เราจะร้อนรุ่มไปกับผู้คนทั้งโลก หากควรรักษาใจให้สงบเย็นเอาไว้
การทำงานใด ๆ ก็ตาม แม้จะเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ แต่หากเราทำด้วยความทุกข์แล้ว
สิ่งนั้นก็อาจกลายเป็นโทษได้ อย่างน้อยก็เป็นโทษแก่เราเอง


ในยามที่โลกกำลังร้อน เราจึงไม่ควรร้อนตามโลก แต่ควรมีธรรมเป็นที่พึ่ง
เพื่อให้เรามีพลังในการดำเนินชีวิตและทำประโยชน์แก่โลกได้อย่างสร้างสรรค์
ไม่ว่าโลกจะร้อนเพียงใด แต่ธรรมนั้นร่มเย็นเสมอ เมื่อใดใจถึงธรรม
ความสงบเย็นภายในก็เป็นไปได้แม้โลกภายนอกจะร้อนรุ่มเพียงใดก็ตาม



ที่มา...จิตวิวัฒน์ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ทิ้ง

..................................................................................................................................................................
ทิ้งฉานไปไม่เคยเหลียวแลๆๆเหมือนคนอย่างฉานหมดค่าแล้วๆๆแต่ฉันขอบคุณที่ทำให้ฉานรู้ตัวตนของตัวตนเองๆๆๆๆๆและเทอร์ว่าเป็นเช่นไรเข้าใจในจิตใจคนแต่ละคนมากขึ้น........


ทิ้งๆๆๆๆๆๆๆๆ....

นื้อเพลง ทิ้ง แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข

เฝ้ามองดาวครั้งเราผูกพัน แต่ความฝันเมฆคลุมมืดมน
ปรอยฝนโปรยลงมาดังน้ำตา เรียกหาเธอ
ไม่มีใจพบใครสักคน จิตสับสนเหมือนคนขาดใจ
ทนหนาวทนเดียวดายอย่างร้อนใจ ใฝ่หาเธอ
อะไรหรือที่เธอใฝ่ฝัน อะไรหรือที่ฉันขาดไป
บอกได้ไหมทำไมจึงทิ้งไป ไม่เข้าใจ
กัดฟันยืนฝืนทรมาน แต่ความหลังฝังใจผูกพัน
คอยย้ำเตือนเดือนวันที่สัญญา ว่ารักกัน
โปรดเถิดดาวประกายส่องแสง ส่องให้แรงรักยังมีหวัง
ผูกความหลังเป็นทางประสานใจ ให้รักเรา
ทิ้ง ทิ้งกันไปฉันคงจะหลงลืมเธอสักวัน
กว่าวันนั้นใจคงร้าวรนจนทนไม่ไหว
ใช่ว่าเธอ ไม่มีความหมาย
ใช่ว่าฉันไม่มีเยื่อใย
ใช่ว่าใจฉันตัดเธอได้ง่ายดายเสียหน่อย^_^

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

108 วิธีไม่ให้เห็นผี

ถ้าคุณทำมาหมดแล้วคุณจะบ้ายิ่งกว่าผี 555 
-อย่านอนเตียงที่มีใต้เตียงโล่ง ถ้ากลัวมากๆ ก็ให้ไปนอนใต้เตียงแทน ปล่อยผีนอนบนเตียงไป
-ถ้ากลัวผีช่องแอร์ ให้เปิดหน้าต่างนอน ให้กระสือมาหลอกแทน
-ถ้ากลัวไฟเปิดปิดเองได้ ให้ถอดหลอดไฟออกทุกดวง เช่นเดียวกับก๊อกน้ำเปิดเอง ก็ให้เปิดมันทิ้งไว้ 
- ถ้าอยู่ดีๆ ได้กลิ่นธูป ให้คว้าการบูรมาดม
-ถ้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงเด็กหรือผู้หญิงร้องไห้ ให้ลุกขึ้นมาปลอบใจผี

-ถ้าอยู่ๆ ได้ยินเสียงเพลงไทย ให้เอา ipod มาเปิด hip hop ฟัง
-ถ้าเพื่อนโดนผีเข้า ให้เมินมันแล้วไปนอน พอไม่มีใครสนใจ  เด๋วผีก็บ่นว่า “เซ็งเป็ดเลยว่ะ” แล้วออกไปเอง
-ถ้ามีเงาอะไรผ่านหน้าต่างไป ให้ไปยืนแถวๆ หน้าต่าง ทำเงาผ่านย้อนไปบ้าง

-ถ้ากลัวจะมีใครมายืนอยู่ปลายเตียง ก็ให้นอนเอาหัวมาไว้ที่ปลายเตียง (เด๋วผีก็ไปยืนอยู่บนหัวเตียงแทน)
-ถ้าผีมาขอส่วนบุญ ให้ถามว่า “สามารถโอนเข้าบัญชีได้ที่วัดไหน? สาขาอะไร?? รับบัตรเครดิตหรือเปล่า???” 
-ถ้าผีจะมาให้หวย ให้บอกไปว่า “รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ??  โอกาสหน้ามาใหม่นะคะ” 
-ถ้าผีจะตามกลับไปอยู่ที่บ้าน บอกให้ผีไปทำเรื่องย้ายชื่อ ทะเบียนบ้าน ในฐานะผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน
-ถ้าไปแถวพัทยา อย่าลืมเอา dict ไปด้วย เพราะอาจจะพบกับผีฝรั่ง

-ถ้าเปิดทีวีแล้วเจอภาพบ่อน้ำ ให้เอาทีวีไปวางบนขอบระเบียง (ในกรณีที่เป็นชั้น๓ ขึ้นไป) ผีที่คลานออกมาจากทีวีจะตกระเบียงตายเอง

-ถ้าอยู่ดีๆ น้ำจากฝักบัวที่อาบกลายเป็นเลือด ให้เอาถุงมารอง แล้วนำเลือดไปขายตามโรงพยาบาล
-ถ้าอยู่ดีๆ เวลาส่องกระจก เงาหน้าของตัวเองในกระจกเป็นหน้าผี อย่าเพิ่งตกใจ ให้รีบหาสีเมจิกมาเติมหนวด เขียนหน้าผีในกระจก 
-ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับผีในตู้เสื้อผ้า เขียนป้ายแปะไว้ว่า “ที่หมานอน” <br>
-หากกลัวผีนั่งทับตัวกลางดึก ให้นอนคว่ำ (ถ้าคิดว่าหายใจไม่ออก ให้ใส่ถังสะบ้านอน) หลังจากนี้ต่อให้ผีมานั่งทับก็จะไม่อึดอัด แถมยังสบายตัวคล้ายนวดกดจุด

-ถ้ากลัวผีในลิฟท์ ให้ยกของหนักๆ ไปด้วย ผีจะตามมาด้วยไม่ได้ เพราะน้ำหนักจะเกิน

-ถ้าถ่ายรูปแล้วติดผี ให้นำหน้าผีไปตัดต่อกับภาพโป๊ ผีจะอายไม่กล้ามาหลอกอีก

-ถ้าคุณเริ่มเอะใจว่าผู้หญิงที่โบกรถมากับคุณจะเป็นผีหรือเปล่า?? ให้รีบเรียกเก็บค่าโดยสารก่อนที่เธอจะหายไป
-ถ้าคุณเห็นภาพผู้หญิงอยู่บนกระจกรถ แวะเข้าปั๊มแล้วเรียกเด็กมาเช็ดกระจก
-ถ้าอยู่ดีๆ คุณเหลือบไปเห็นคนมานั่งตรงเบาะหลัง ให้ถามไปว่า “สรุปไปพัฒพงษ์ ใช่มั้ยครับ”

-หากคุณพบผีเปรตในวันฝนฟ้าคะนอง ให้ก้มตัวต่ำ ฟ้าจะผ่าโดนผีก่อน

108 วิธีไม่ให้เห็นผี

ฉันท่วม เธอก็ต้องท่วม


ฉันท่วม เธอก็ต้องท่วม ฉันท่วม เธอก็ต้องท่วม****
***********************************
**************************************
เอามากั้นไว้ทำไมไอ้ทรายถุง

ให้น้ำมุ่งใส่บ้านฉันแบบนี้

ทีฝั่งโน้นไม่ท่วมขังยังแห้งดี

อ้าวแบบนี้มันเอาเปรียบเหยียบกันจม

ในเมื่อฉันนั้นท่วมอ่วมทั้งบ้าน

ต้องทนทุกข์ทรมานพาลขื่นขม

ทางฝั่งนั้นก็ต้องท่วมร่วมกันจม

อย่ามาบ่มความทุกข์ให้แต่ฝ่ายเดียว

มาเรามาทำลายให้พังสิ้น

ไอ้คันดินขังน้ำในยามเชี่ยว

เราอย่ายอมเสียเปรียบใครแต่ฝ่ายเดียว

ให้น้ำเชียวท่วมบ้านมันเหมือนเรา


----------------------------------------------------------

ฝั่งที่เคยใช้เป็นเช่นที่พัก

ไว้เป็นหลักหลบภัยให้น้องพี่

ส่งเสบียงลำเลียงยาอาหารมี

ให้ผู้ที่ประสบภัยได้พึ่งพา

ก็ถูกน้ำไหลรวมท่วมทั้งหมด

ทั้งรารถเวชภัณฑ์อันมีค่า

ที่เก็บไว้ใช้ช่วยเหลือเพื่อพึ่งพา

ก็จมสายธารามาด้วยกัน


----------------------------------------------------------


เมื่อน้ำท่วมทั้งสองฝั่งจึงนั่งคิด

ฉันทำผิดหรือถูกดีที่ทำนั่น

น้ำฝั่งฉันและเธอเสมอกัน

มันดีขึ้นจากก่อนนั้นหรืออย่างไร

น้ำฝั่งฉันก็ยังเพิ่มเท่าเดิมอยู่

อีกฝั่งคู่ก็อยู่ท่วมรวมกันได้

อ้าวแล้วฉันจะอยู่กันนั้นอย่างไร

ไม่มีแล้วที่หลบภัยให้พักพิง



ขอบคุณ : postjung

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ขอบคุณธรรมชาติที่จัดสัน






ขอบคุณธรรมชาติที่จัดสัน

ฉันมีสายลม ช่วยสร้างบรรยากาศ

ฉันมีแสงแดด ช่วยให้แรงกำลังกาย

ฉันมีสายฝน ช่วยให้ความฉุ่มฉ่ำใจ

ฉันมีดินผืนใหญ่ ช่วยให้พลัง

ฉันมีหมู่ก้อนเมฆ ช่วยให้ความหวัง

ฉันมีหมู่ดวงดาว ช่วยคอยก้าวนำทางฝัน

ฉันมีท้องฟ้า ช่วยให้ความแจ่มใจ

ฉันมีสายน้ำ ช่วยให้ใจสงบเย็น

Tharmha Jatoตามหาใจ****

*********************************



บทกวีความรัก อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์



บทกวีความรัก อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไ
ความรัก ไม่ต้องการแค่วันเดียว
ความรัก ไม่ต้องเกี่ยวกับวันไหน
ความรัก ไม่ต้องมีเวลาใด
ความรัก ไม่ต้องใช้ให้ใครชี้

ความรัก ไม่ต้องมีข้อวิจารณ์
ความรัก ไม่ต้องการ-การกดขี่
ความรัก ไม่ต้องการให้ใครตราตี
ความรัก ไม่ต้องมีเส้นพรมแดน

ความรัก ไม่ต้องการข้อพิสูจน์
ความรัก ไม่ต้องพูดตามแบบแผน
ความรัก ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
ความรัก ไม่ต้องแค่น หัวใจคน

ความรัก ไม่ต้องการ การเป็นต่อ
ความรัก ไม่ต้องรอ ขอเหตุผล
ความรัก ไม่ต้องย้ำ ความมีจน
ความรัก ไม่ต้องทน ที่จะรัก

ความรัก คือหัวใจให้แก่กัน
ความรัก คือนิรันดร์ มั่นสมัคร
ความรัก คือศรัทธา สามิภักดิ์
ความรัก คือความประจักษ์ในใจเรา

ความรัก คือนิยายไร้นิยาม
ความรัก คือความงาม ใช่ความเขลา
ความรัก คือหมอกควันอันบางเบา
ความรัก คือการเฝ้า เข้าใจกัน

ความรัก คือสำเนียงเสียงปลอบปลุก
ความรัก คือความทุกข์และสุขสันต์
ความรัก คือเสน่หา สารพัน
ความรัก คือความฝันอันตราตรู

ความรัก คือศิลปะของหัวใจ
ความรัก คือสายใยโยงใจอยู่
ความรัก คือการให้ไม่หมายรู้
ความรัก คือใจผู้รู้ค่ารัก.


จากบทกวี "ความรัก"
ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
***************************

พบูลย์

คมคำบาดใจ


เวลา...ซาตาน...พระเจ้าต่างกันที่ความเชื่อ
เหมือนกันที่...ไร้ตัวตน

การพลัดพราก...ไม่จะจากไป...หรือตายจากรดชาดก็มิได้เจือจางไปกว่ากันเลย

พระเจ้าไม่เคยลืมลูกแกะ...ที่พลัดหลงอยู่ในทุ่งแล้งของพระองค์เลย

อาจจะเป็นเพราะพระเจ้าเหงา จึงได้สร้างโลกนี้ขึ้นมา
เพื่อให้เป็นโรงมหรสพของพระองค์ ทุกชีวิตเป็นเสมือนตัวละครตัวหนึ่ง
ที่ถูกกำหนดบทบาทไว้แล้ว...

ความรัก...ใครบ้างเล่า...ห้ามได้ เมื่อหัวใจบงการจะปวดร้าวสักเพียงใด
เจ็บช้ำสักแค่ไหน...ก็ยังดิ้นรน...ไขว่คว้า

ความรักงอกงามอยู่ในจิตนาการ..ผลิดอกแย้มบานอยู่ในความระทม

สุดฟากฟ้าสุดมือ...เอื้อมไป...ว่างเปล่า...

กับความรักเร้นที่ร้าวลึก...หัวใจเหมือนละลายแหลกเหลว...อยู่ในอเวจี

คิดถึง...ทั้งที่อยู่ตรงหน้า..โอ้...ความรักช่างลึกล้ำ...เร้นลับ

เพราะจิตวิญญาณไม่ยอมคุกเข่า...หัวใจจึงถูกเชือดเฉือน

แขนต่างหากที่สั้นเกินไป...ดวงดาวไม่ได้ไกลเกินเอื้อมคว้า

ชัยชนะ...แม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิต ก็ยังดีกว่าที่จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างผู้แพ้
สูญเสีย...เจ็บปวด...ชั่วชีวิต

เวทนา...สงสารหรือเห็นใจ ถ้าเพียงแค่นั้นที่น้ำตาสามารถแลกได้
หัวใจเธอก็พร้อมที่จะจมน้ำตา

ประกาศิตรัก...แม้แต่ขบวนพยุหะยาตราของพระเจ้าก็ไม่อาจทัดทาน

ใดๆในโลกล้วนเป็นอนิจัง...ประสาอะไรกับ...ความหวังลมๆแล้งๆ

ตราบใดที่ยังรอคอย แม้จะเจ็บปวดร้าวสักเพียงใด
ก็ยังคงมีความหวัง...ให้ได้หวังได้เสมอ...

ราชโองการของพระเจ้า...มักจะส่งผ่านมา...ทางความเงียบ

ความยุติธรรมกับความถูกต้อง มักจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ...ในเหตุผล
ความยุติธรรมกับความถูกต้อง มักจะอยู่คู่กันเสมอ...บนเส้นขนาน

ความเชื่อสร้างศรัทธา...ความจริง...ปลดปล่อย

ชีวิต...จิตวิญญาณ...หัวใจ...กดขี่ร่างกายเยี่ยงทาส...จนลมหายใจสุดท้าย

ความยิ่งใหญ่แห่งมหาสมุทร มีอยู่ในดวงตาด้วยหรือไร ใยไม่รู้จักหมดสิ้น...

ความจริง...แม้ว่าจะขมขื่นสักเพียงใด ปวดร้าวสักแค่ไหน
หัวใจก็พร้อมที่จะกล้ำกลืน

น้ำตากับความรัก... มาจากที่เดียวกัน..ที่หัวใจ...

น้ำตาไม่อาจใช้ยังชีพ...ไม่ว่าจะแร้นแค้นเพียงใด

พระเจ้า...เฝ้าดูความทุกทน ทดสอบ...จิตวิญญาณ
แล้วก็รับความดีความชอบไป...ทุกครั้ง

ถ้าความรักเป็นแขนขาของพระเจ้า
ความเห็นแก่ตัวก็คือข้าช่วงใช้ที่ซื่อสัตย์...ของซาตาน

ในห้วงแห่งพันธนาการใจ กุญแจใจเท่านั้นที่จะไขให้หลุดพ้น
เพียงแต่ต้องหาให้พบกุญแจสำคัญดอกนั้น...ในใจ

สายลมโชยพัดเก้าอี้โยก...ไหวเอน...พักผ่อน
เหลือเพียงความทรงจำกับวันเวลาที่เหลืออยู่
และมันก็จะผ่านไปผ่านไป...และผ่านไป...ในที่สุด.

*** จากเรื่อง แสนยานุภาพแห่งการรอคอย : นันทวิสาร เขียน-*-

************************************************************************